วันพุธที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2554

Movie Crows zero

เล่าเรื่องของโรงเรียนมัถยม ซูซูรัน หรือสมญานามว่า “โรงเรียนอีกา” ซูซูรัน ตั้งอยู่ในย่านชานเมืองแห่งหนึ่ง ณ ประเทศญี่ปุ่น อันเป็นแหล่งที่ สิงห์สาราสัตว์ เด็กเลว นักเรียนนักเลง จากทั่วทุกสารทิศ มารวมตัวกันอยู่ในยานนี้ โดยมีโรงเรียนมัถยนม ซูซูรัน เป็นเหมือน จุดศูนย์กลางแห่งความบ้าคลั่ง ที่รวบรวมเด็กเหลือขอ จากทั่วสารทิศ ที่เรียนไม่ได้เรื่อง กีฬาไม่เก่ง หญิงไม่มอง วันๆ ใช้ชีวิตอยู่กับการตีกันเอง ไม่ก็ยกพวกไปตีกับชาวบ้าน เบื้องหลังแห่งการประสบความสำเร็จของ การ์ตูน ทั้งสองเรื่องนั้น ก็ไม่ใช่สิ่งลึกลับอะไรมากมายนัก ทากาฮาชิ สามารถสร้างเรื่องราวอันน่าตื่นเต้น ตัวละครที่เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ ทั้งในทางบทบาท และในแง่งานศิลป์ ของภาพ รวมถึงการออกแบบฉากต่อสู้ได้อย่างเร้าใจ โดยไม่หลุดจากกรอบความเป็นจริง จนเกินจะสัมผัสได้อย่างเช่นการ์ตูน นักเรียนนักเลงบางเรื่อง ความพิเศษสุดของทั้ง Crows และ Worst ก็คือ การนำเสนอความฝันของลูกผู้ชายได้อย่างชัดเจน เป็นรูปธรรม ทากาฮาชิ ได้สร้างสิ่งที่ผมอยากจะเรียกว่าเป็น “ยูโธเปียของเด็กเลว” ขึ้นมา ดินแดนที่ถูกตัดขาด จากความยุ่งยากแห่งโลกทุนนิยม ที่เราทุกคนต้องเผชิญ มนุษยเดินดินทุกคน ในยุคปัจจุบันนั้น ถ้าไม่ได้มีอะไรผิดปกติก็มันจะมีเส้นทางที่ถูกวางเอาไว้ เกิด เรียนรู้ เติบโต โดยเมื่อถึงวัยหนึ่งนั้น ก็ต้องเข้าสู่โลกแห่งความเป็นจริง การทำงาน งานของ ฮิโรชิ ทาคาฮาชิ เล่าถึงโลกของเด็กหนุ่มวัยรุ่น ก่อนที่จะถึงช่วงเวลาอันแสนเศร้านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ช่วงเวลาแห่งชีวิตอิสระ โลกของ Crow จึงเป็นโลกในอุดมคติ แบบผู้ชายแสวงหา และฝันถึง ที่ความขัดแย้งถูกตัดสินด้วยพละกำลัง นับถือในคุณธรรมแบบดั่งเดิม คุณค่าของเพื่อนฝูงยังคงเป็นสิ่งที่มีอยู่จริง และสัมผัสได้ง่าย และที่สำคัญที่สุด การได้ใช้ชีวิตอย่างอิสระเสรี การต่อยตี การก่อสงครามในหมู่นักเรียน ก็เปรียบเสมอพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ ร้อยช้ำ บาดแผล ก็คือประกาศณียบัตรแห่งเกียรติอันนั้น ทากาฮาชิ เล่าเรื่องที่ไม่ได้จำกัดอยู่ที่ตัวละครเอกตัวใดตัวหนึ่ง หากแต่ใช้สถาน และโดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงเวลา เป็นจุดศูนย์กลางของเรื่อง ตั้งแต่โรงเรียนมัถยมซูซูรัน เมืองเล็กๆ ที่พวกเขาอยู่ ครอบคลุมไปถึงโลกของเด็กเลว เช่นเดียวกับเวลาที่ จำกัดอายุของตัวละครไว้ที่ช่วงวัยรุ่นตอนปลาย ตัวละครรุ่นแล้วรุ่นเล่า สลับสับเปลี่ยนมามีบทบาท และสร้างวีระกรรมอันยิ่งใหญ่ พิสูจน์ถึงคุณค่านักเลงแบบเก่า และคุณค่าแห่งลูกผู้ชายที่แท้จริง ตั้งแต่หมาป่าผู้อิสระ โบยะ ฮารุมิจิ (ตัวเอกจาก Crows) และชายผู้ไปได้ใกล้เคียงกับตำแหน่ง “หัวหน้า” ที่สุดในประวัติศาสตร์แห่งซูซูรัน ซึกิชิมะ ฮานะ (ตัวเอกจาก Worst) Crows Zero (หรือ Crows Eprisode 0) ก็เช่นเดียวกันการ์ตูนสองเรื่องนั้น แต่ครั้งนี้ ทากาฮาชิ (ที่รับหน้าที่แต่งเรื่อง เขียนบทหนังด้วย) เลือกที่จะเล่าเรื่องที่เป็นเหมือน ตำนานที่ยังไม่ได้ถูกบอกกล่าว เป็นการเล่าเรื่องในลักษณะของภาคก่อนหน้า (หรือ Prequel) ของต้นฉบับการ์ตูน ด้วยการย้อนเวลาไปหนึ่งปีก่อนหน้า ที่โบยะ ฮารุมิจิ ตัวเอกของฉบับการ์ตูนจะเข้าเรียนเป็นวันแรก ในปีก่อนหน้านั้น เป็นวันเปิดภาคเรียนเช่นเดียวกัน พายุแห่งความวุ่นวายลูกใหม่ ได้เริ่มตั้งเค้าขึ้นมาแบบเงียบๆ และพร้อมที่โหมกระหนั่มใส่ซูซูรัน ในอนาคตอันใกล้นี้ หากแต่ไม่ใช่เหล่าเด็กปีหนึ่งไฟแรง ที่กำลังต่อยตี กันอยู่ในโรงประชุม ขณะประถมนิเทศนั้นหรอกนะ แต่เป็น เด็กหนุ่ม ปีสาม ทีย้ายเข้ามาเรียนใหม่นาม เก็นจิ ทาคิยะ (ชุน โอกูริ) ต่างหาก เก็นจิ ลูกชายของหัวหน้าแก๊งทาคิยะ ยากูซ่าสุดดัง ย้ายเขามาเรียนในระดับชั้นปี 3 โรงเรียนซูซูรัน หวังยึดครองโรงเรียนแห่งนี้ เพื่อพิสูจน์คุณค่าตัวเองต่อพ่อ ผู้ยิ่งใหญ่ แต่การจะยืนอยู่บนจุดสูงสุดของโรงเรียนอีกานั้น การเอาชนะคนอย่าง เซริซาว่า ทามาโอะ (ทาคายูกิ ยามาดะ) เป็นสิ่งที่จะหลีกเลี่ยงไม่ได้ เซริซาว่า ชายที่กุมอำนาจ ของกลุ่มกองกำลังสุดแข็งแกร่งที่สุดของ ซูซูรัน การจะเอาชนะมันได้นั้น เก็นจิ ต้องเริ่มจากตัวคนเดียว รวบรวมกลุ่มเล็กกลุ่มน้อย ขึ้นมาต่อกร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หัวโจกของ อีกสองกลุ่มใหญ่อย่าง มาคิยะ ทาเคชิ และฮิชากิ ผู้แข็งแกร่ง ก่อตั้งกองกำลัง G.P.S ขึ้นมา สงครามดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง เพื่อผู้แข็งแกร่งคนสุดท้ายเท่านั้นที่จะยืนหยัด แม้จะเป็นการแต่งเรื่องขึ้นมาใหม่ แฟนๆ ของ Crows ก็ยังมีการอ้างอิง องค์ประกอบจากการ์ตูนต้นฉบับอยู่พอสมควร ไม่ว่าจะเป็นตัวละครอย่าง รินดาแมน หรือสามสหายปีหนึ่ง ฮิโรมิ ปง และมาโค ตัวละครเหล่านี้แม้จะไม่ได้เป็นตัวหลัก แต่ก็คงสร้างความพึงพอใจให้กับแฟนของ Crows ได้บ้าง สิ่งที่ถูกอ้างอิง ไม่ได้ครอบคลุมเฉพาะตัวเนื้อหาของการ์ตูน รวมถึงกิจกรรมสุดโปรดของผู้เขียนอย่าง ที่มักถูกพูดถึงในหน้าแถม ภาคผนวก จากหนังสือการ์ตูน ไม่ว่าจะเป็นการ การฟังเพลงร็อควง Street Beats ที่ถูกเลือกให้มาทำดนตรีประกอบ และร้องเพลงเปิดเรื่อง หรือการใส่ กีฬาปาเป้า เข้ามาในฐานะงานอดิเรก ของตัวละครตัวหนึ่งในเรื่อง (ขอนอกเรื่องนิดหน่อยนะครับ การ์ตูนเรื่อง Crows นอกจากตัวเรื่องจะสนุกแล้ว หน้าแถมของเปิดโอกาศให้ผู้เขียน ได้เล่าเรื่องราวส่วนตัว เรื่องงานอดิเรก ชีวิตการเป็นนักเขียน การไต้เต้า ได้อย่างมีรสชาติ ยังสนุกไม่แพ้กันด้วย) ทาเคชิ มิอิเกะ ดูจะสวมวิญญานแบบมือปืนรับจ้าง สร้าง Crows Zero โดยไม่พยายามสร้างให้เป็นงานศิลปะที่ยิ่งใหญ่ หนังมีความเป็นงานประเภทหนังตลาดอยู่ค่อนข้างสูง ดูได้ง่ายๆ ประเด็นชัดเจน บรรดาชายหนุ่มทั้งหลาย ได้ดูแล้วก็คงจะซึ้ง ตื้นตันในเนื้อหา ประเภทมิตรภาพ ความฝัน ความรุนแรง อะไรประเภทนี้ได้ง่ายๆ การแทรกฉากตลกเหนือจริง แบบการ์ตูนถูกใส่เพื่อรักษาอารมณ์ตลกห่ามๆ แบบดังเดิม อย่างไรก็ตาม องค์ประกอบประเภทจับยัด บางอย่างที่ถูกใส่เข้ามา ก็สร้างรำคาญได้ไม่น้อย พูดแบบเฉพาะเจาะจงก็คือ ตัวละครหญิงที่แสดงโดย เมอิซะ คุโรกิ ถือว่ารกรุงรัง ไม่จำเป็นต่อเนื้อเรื่องเท่าไหร่เลย การโผล่มาร้องเพลงถึงสองเพลงของตัวละครตัวนี้ คงจะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจาก การยัดเยียดจากต้นสังกัดเพื่อโปรโมตเธอในฐานะดาราหน้าใหม่เท่านั้น พูดถึงเนื้อหาของหนังแล้ว Crows Zero ถือเป็นเรื่องราวที่ให้น้ำเสียงไปในทาง Escape Fiction หรือ ความบันเทิง อันว่าด้วยการหนีออกจากโลกแห่งความเป็นจริง อยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเนื้อหา การเสนอภาพแห่งความฝันของชายหนุ่ม ที่สามารถใช้ชีวิตอย่างมีเกียรติ และอิสระอย่างที่โลกที่แท้จริงนั้นไม่มีทางเป็นไปได้ ถ้าจะลองมองโลกในแง่ร้าย เนื้อหาของหนังนั้น ล่อแหลมเหลือเกินที่จะ กลายเป็นยาพิษต่อผู้ดู (ผู้อ่าน) ที่ไม่มีวิจารณะยานเพียงพอ เส้นแห่งระหว่างเหล่าช่างกลที่น่ารักเกียจ กับวีระบุรุษนักเลงนักเรียนใน Crows Zero ก็ดูเหมือนจะบาง และทับซ้อนอยู่ที ตราบใดที่ชีวิตจริงยังน่าเบื่อ ความฝันแบบ Crows ก็ยังจะคงหอมหวาน และน่าค้นหาอยู่ต่อไป ที่น่าชื่อชมก็คือ มิอิเกะ ยังคงสานต่อในเรื่องบความฝันแบบเด็กผู้ชาย และยังต่อยอดแนวคิด ด้วยการพูดถึงการปะทะกันของความฝันแบบเด็กผู้ชาย กับโลกแห่งความเป็นจริง ได้อย่างน่าสนใจ (ต้นฉบับมีเนื้อหาทำนองนี้อยู่บ้างเหมือนกัน แต่ไม่ได้เป็นส่วนหลักของเรื่อง) สุดท้าย สงคราม การต่อสู่ ของเหล่านักรบซูซูรันทั้งหลาย อาจจะเป็นเพียงความฝัน ความไร้ค่าอย่างที่ตัวละคร “รินดาแมน” พูดไว้ ในตอนท้ายถือ เป็นบทสรุปของแนวคิดที่ว่านี้ ช่วงไครแม็กซ์ของหนัง มิอิเกะ ตัดสลับระหว่าง 3 – 4 เหตุการณ์เข้าด้วยกัน เพื่อสะท้อนถึงความ เขตแดนของความฝันกับความจริง ที่ทับซ้อนกันอยู่จนแยกไม่ออก เด็กสาวผู้อยู่วงนอกมองเห็นภาพคนรัก กำลังทำสิ่งที่เธอไม่มีวันเข้าใจ, ตัวของ เก็นจิ เองผู้มองซูซูรัน เป็นเพียงเครื่องมือที่จะให้พ่อผู้ยิ่งใหญ่ มองเห็นคุณค่าของตัวเขาเองมากขั้น สุดท้ายสงครามแห่งซูซูรัน ที่เก็นจิ ต้องห่ำหั่นกลับไม่ใช่เพื่อพ่อ แต่เป็นเพื่อเกียรติของตัวเอง โทคิโอะ นักเรียนหนุ่มคู่หูของเซริซาว่า ต้องพบตัวเองอยู่อย่างเดียวดาย ขณะสงครามอันศักดิ์สิทธิ์ของเหล่าเด็กหนุ่มกำลังจะเกิดขึ้น โทคิโอะ กลับต้องเผชิญหน้ากับความตาย จากโรคร้ายที่รุมเร้า เช่นเดียวกับ ตัวละครสำคัญอีกตัวของเรื่อง หนุ่มที่ชื่อว่า คาตากิริ เคน (เคียวซุเกะ ยาเบะ) ยากูซ่าตัวกระจอกที่เคยเรียนซูซูรัน แต่ต้องลาออกกลางคัน เขาเป็นผู้ให้คำแนะนำต่างๆ แก่เกนจิ ในการตั้งแก็ง และรับมือกับพวก เซริซาว่า เหมือนเป็นขุนพลของหนึ่งของแก๊งเก็นจิ แต่เมื่อถึงจุดหนึ่ง คาตากิริ ถึงได้เขาใจ เขาเพียงพึ่งพาอาศัยไปกับ ความฝันของเก็นจิ ความฝันที่ตัวเองไม่สามารถทำได้สำเร็จในอดีต สุดท้ายแล้ว คาตากิริ ถึงรู้ว่าสงครามที่กำลังเกิดขึ้นนั้นตัวเองเป็นเพียงวงนอก ความฝันในซูซูรันของเขานั้นมันจบไปนานแล้ว แต่ชีวิตก็ใช่จะจบสิ้น ยังมีสงคราม มีการต่อสู้ในโลกของผู้ใหญ่ที่ต้องเผชิญหน้าอีกมากมาย Crows Zero โลกแห่งการต่อสู้ เพื่อให้ได้มาซึ่งเกียรติยศนั้น อาจจะถูกฉาย อย่างเด่นชัดมากในสถานที่อย่างซูซูรัน และ ในช่วงชีวิตวัยรุ่นอันร้อนแรง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า ในโลกแห่งความเป็นจริง หรือโลกแห่งผู้ใหญ่ จะปราศาจซึ่งสิ่งเหล่านี้โดยสิ้นเชิง สุดท้ายการต่อสู้รูปแบบอาจจะเปลี่ยนไป แต่ความกล้าหาญ และคุณค่าของลูกผู้ชายแบบเก่า นั้นสามารถพิสูจน์ ทุกวินาทีแห่งชีวิต

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น